สาเหตุของสิววัยรุ่นหลักๆเกิดจากเริ่มมีฮอร์โมนเพศออกมามาก และฮอร์โมนเพศนี้ จะกระตุ้นให้ต่อมน้ำมันสร้างน้ำมันออกมามากกว่าธรรมดา จนเกิดการอุดตันได้ง่ายจนกลายเป็นสิวในที่สุด สิวแบบนี้เป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดตามช่วงวัยแห่งการก้าวเป็นหนุ่มสาวและจะเกิดสิวได้ตลอดไปจนกว่าจะล่วงพ้นเวลานี้
สิววัยรุ่นแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. สิวไม่อักเสบ ได้แก่ สิวหัวขาว และสิวหัวดำ
2. สิวอักเสบ ซึ่งอาจเริ่มจากการเกิดสิวในกลุ่มที่ 1 แล้วเกิดการอุดตันต่อมามีเชื้อแบคทีเรียมาร่วมด้วยจนเกิดการอักเสบ ช้ำ บวม แดง สิวจะนูนเป็นตุ่มแดง หรือตามมาด้วยตุ่มหนองในที่สุด
การดูแลรักษาสิวทั้งสองแบบก็มีจุดประสงค์เดียวกันก็เพื่อ
1. หากเกิดเม็ดสิวออกมาแล้ว ก็ต้องป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นทุกรูปแบบ เริ่มต้นอย่างง่ายๆโดย หยุดการแกะ บีบ เค้น นวด เพราะจะไปทำให้เกิดรอยได้ง่ายมาก
2. ทำให้สิวหายหรือยุบไปโดยเร็ว หากสิวอักเสบที่บวม หรือมีหนองคั่งปูดโปน เพื่อให้สิวหายหรือยุบโดยเร็ว การรักษาจึงเลือกใช้ การกินยาปฏิชีวนะเพื่อไปออกฤทธิ์ทำลายเชื้อที่เป็นสาเหตุของการอักเสบ ยาที่เลือกใช้ได้แก่ เตตร้าซัยคลีน (Tetracycline) หรืออิริโธรมัยซิน (Erythromycin) หรือคลินดามัยซิน (Clindamycin) ในขนาด 500 – 1,000 มก. ต่อวัน (วันละ 2-4 เม็ด) ในช่วงระยะที่มีการอักเสบ หรืออาจใช้นาน 3-6 เดือน เพื่อควบคุมอาการไม่ให้บวมมากขึ้น
การทายาซึ่งช่วยการยุบตัวของสิว เช่น คลินดามัยซินในรูปแบบโลชั่น ครีมหรือเจล หรือยาประเภทโลชั่นที่มีส่วนผสมของสารกำมะถัน (Sulfur) ยาประเภทเบนซอยด์เปอร์ออกไซด์ (Benzoid peroxide) 5- 10 เปอร์เซ็นต์
3. ป้องกันไม่ให้เกิดสิวขึ้นได้อีก โดยหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหรือครีมทาผิวต่างๆที่จะไปซ้ำเติมให้สิวเกิดการอุดตัวได้อีก แล้วจึงเลือกใช้ยาทาประเภทกรดวิตามินเอ (Retinoic Acid) ในขนาด 0.25 – 0.5 มก.% วันละครั้งก่อนนอน
4. การรักษารอยแผลเป็นให้ดีขึ้น ขั้นตอนนี้เป็นการรักษาวิธีพิเศษเพื่อทำให้รอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นมาแล้วมีสภาพดีขึ้น แนะนำให้ไปปรึกษาได้จากแพทย์ทางโรคผิวหนังเท่านั้น ส่วนวิธีซึ่งทำกันตามร้านเสริมสวย เช่น ขัดหน้า ลอกหน้า นวดหน้า กรอหน้า ตามที่มีการโฆษณากันมักจะไม่ได้ผลและหากขบวนการทำผิวไม่รักษาความสะอาด ก็ยังมีโอกาสทำให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนตามมาจนผิวของน้องอาจเสียอย่างถาวรเลยก็ได้